นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล ประธานสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เนื่องจากสถิติในเดือนเมษายน 2566 เผยให้เห็นว่ามีแรงงานข้ามชาติสัญชาติกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนามกว่า 1.9 ล้านคน อยู่ระหว่างกระบวนการจดทะเบียนและต่อใบอนุญาตตามมติคณะรัฐมนตรี 7 กุมภาพันธ์ 2566 และต้องลงตราวีซ่าภายใน 15 พฤษภาคม 2566 ขณะนี้ยังไม่ปรากฏตัวเลขอย่างเป็นทางการว่า เหลือแรงงานจำนวนเท่าใดที่ดำเนินการได้ทันและไม่ทันตามกำหนดเวลาดังกล่าวคำพูดจาก เว็บสล็อตแท้
และยังไม่มีมติคณะรัฐมนตรีหรือมาตรการใด ๆ มารองรับเพื่อให้แรงงานที่หลุดออกจากระบบสามารถทำงานในไทยกับนายจ้างต่อไปได้อย่างถูกต้องในช่วงการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ดังนั้นสภาองค์การนายจ้างฯขอเสนอ 3 ข้อถึงรัฐบาลชุดใหม่ ให้เร่งดำเนินการทันทีเพื่อแก้ปัญหาแรงงานข้ามชาติ
1) การเปิดให้มีศูนย์จดทะเบียนแรงงานข้ามชาติแบบเบ็ดเสร็จ (One-Stop Service Centers หรือ OSSCs) เพื่ออำนวยความสะดวกให้นายจ้างและแรงงานไม่ต้องเดินทางไปดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ในหลายหน่วยงาน เช่นเดียวกับก่อนที่จะมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งการมีศูนย์ OSSCs จะช่วยลดภาระเรื่องการเดินทางของทั้งนายจ้างและแรงงานในการเข้าสู่กระบวนการขอรับใบอนุญาต ในเรื่องค่าใช้จ่ายและเวลา และยังจะช่วยลดขั้นตอนโดยนายจ้างและแรงงานจะสามารถดำเนินการยื่นคำร้อง ตรวจสุขภาพ ลงตราวีซ่า และรับใบอนุญาตทำงาน พร้อมกับบัตรสีชมพู ได้ในจุดเดียว และดีที่สุดคือภายในวันเดียว 2) ลดค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการต่อใบอนุญาต การเปิดศูนย์ OSSCs นายจ้างและแรงงานจะสามารถลดค่าใช้จ่ายเรื่องการเดินทางได้ทันที หากการดำเนินการทั้งหมดสามารถผ่านศูนย์ได้ที่เดียว และใช้เวลาเพียง 1 วัน โดย อัตราค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนโดยสมบูรณ์ควรสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเรียกเก็บเฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนแรงงานหนึ่งคน สำหรับการทำงาน 2 ปี หากไม่มีประกันสังคม จะอยู่ที่ 9,480 บาท โดยประมาณ หรือ 6,380 บาท เมื่อหักค่าประกันสุขภาพออกไป ในกรณีที่แรงงานเข้าประกันสังคม ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการต่อเอกสารเดินทางของแรงงาน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่านายหน้า ในกรณีที่ทั้งนายจ้างและแรงงานไม่สามารถดำเนินการตามขั้นตอนอย่างครบถ้วนได้ด้วยตนเอง เมื่อเปรียบเทียบกับฐานรายได้ค่าจ้างขั้นต่ำของแรงงานแล้ว จึงไม่จูงใจให้แรงงานเข้าสู่ระบบ รัฐบาลควรมีแนวคิดปรับลดค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ แรงงานข้ามชาติ ยังมีข้อจำกัดในการได้รับบริการจากกระทรวงแรงงาน เช่น ไม่สามารถเข้าถึงโครงการอบรมพัฒนาทักษะแรงงาน หรือขอรับบริการจัดหางานในกรณีที่ถูกเลิกจ้าง เป็นต้น และการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรควรที่จะทำให้แรงงานรู้สึกมั่นคงปลอดภัย แต่ค่าวีซ่ากลับกลายเป็นเงื่อนไขไม่ให้แรงงานปรับเปลี่ยนสถานะเข้าเมืองให้ถูกต้องตามกฎหมายโดยง่าย การใช้บริการคนกลาง หรือบริษัทในการช่วยดำเนินการอาจยังเป็นทางเลือกที่มีความสำคัญ ดังนั้น จึงจำเป็นที่รัฐควรจะกำหนดเพดานการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการบริการ ในปัจจุบันการจดทะเบียนแรงงาน ไม่มีการกำกับดูแลการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม และบางครั้งมีค่าธรรมเนียมที่สูงและไม่สมเหตุสมเหตุ หากกระบวนการจดทะเบียนเป็นกระบวนการที่ทำให้แรงงานสามารถเข้าทำงานได้อย่างถูกต้อง
สภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย เร่งเสริมความรู้ความปลอดภัย ในการทำงานภาคการเกษตร
เตือน!แรงงานต่างชาติ เคลื่อนไหวผิด ม.112 ถูกเพิกถอนใบอนุญาตทำงาน-เพิกถอนสิทธิอยู่ในราชอาณาจักร
และ 3) ลดขั้นตอนหรือเงื่อนไขให้แรงงานข้ามชาติยังสามารถคงสถานะเข้าเมืองและมีใบอนุญาตทำงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการระบุให้แรงงานต้องรายงานตัวทุก ๆ 90 วัน หากมองว่าการได้มาซึ่งใบอนุญาตทำงานของแรงงานข้ามชาติเป็นเรื่องยุ่งยาก การคงสถานะพำนักและทำงานในประเทศได้อย่างถูกกฎหมายนั้นเป็นเรื่องที่ยากพอ ๆ กัน ทั้งนายจ้างและแรงงานต่างมีหน้าที่แจ้งเข้าแจ้งออกการทำงานต่อกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน และในระหว่างที่แรงงานอาศัยอยู่ในประเทศไทย ต้องแจ้งที่พักอาศัย และคอยรายงานตัวต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทุก ๆ 90 วัน โดยผู้ให้ที่พักต่อคนต่างชาติก็มีหน้าที่ต้องแจ้งการให้ที่พักด้วย
นายเอกสิทธิ์ ระบุว่า การบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน หลังจากนี้ควรใช้กรอบการพิจารณาใหม่ ให้เกิดการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมตามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับแรงงานประเภทอื่น ๆ หรือจากชาติอื่น ๆ โดยอาจเริ่มจากการผ่อนปรนเงื่อนไขการรายงานตัว 90 วัน ซึ่งเราได้เห็นแล้วว่ามีการผ่อนปรนมาตรการดังกล่าวกับผู้ถือวีซ่าประเภท smart visa ที่ให้รายงานตัวเพียงปีละหนึ่งครั้ง ในเมื่อแรงงานจดทะเบียนภายในประเทศมีนายจ้างและมีงานทำเป็นหลักแหล่ง การบริหารคนกลุ่มนี้ควรสอดคล้องกับความเป็นจริงและไม่นำมิติความมั่นคงของรัฐมาบังคับใช้อย่างเข้มงวดหรือเทียบเท่าการเข้าเมืองประเภทอื่น ๆ โดยเฉพาะเมื่อมีมาตรการอื่น ๆ ที่จะสามารถระบุหลักแหล่งของแรงงานได้ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งที่พักอาศัยใหม่ และการแจ้งเข้าทำงาน
หากรัฐดำเนินการทั้ง 3 ข้อข้างต้นนี้ จะเป็นการสร้างมิติใหม่ของการอำนวยความสะดวกที่เอาความต้องการและประโยชน์ของผู้คนเป็นที่ตั้ง โดยก้าวข้ามการเลือกปฏิบัติอันมีเหตุมาจากสัญชาติ เชื้อชาติ หรือสถานะบุคคล โจทย์ของความมั่นคงของรัฐจะกลายเป็นการบริการและคุ้มครองประชาชน เพื่อสร้างความมั่นคงของมนุษย์ไปพร้อม ๆ กับรัฐบาลที่มั่นคง